สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จากการสำรวจพบว่ามีถึง 70 ชนิด ที่พบเห็นได้บ่อย ได้แก่ ช้างเอเชีย กระทิง หมาใน เก้ง กวางป่า ชะนีมือขาว ชะนีมงกุฎ และลิงกัง นอกจากนี้ ยังพบเห็นสัตว์ป่าที่มีความสำคัญอีกหลายชนิด เช่น แมวดาว หมีควาย เลียงผา เม่นใหญ่แผงคอยาว พญากระรอกดำ นากใหญ่ขนเรียบ ความหลากชนิดของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเหล่านี้ เป็นตัวชี้วัดหนึ่งที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้เป็นอย่างดี
ช้างเอเชีย (Asian Elephant)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Elephas maximus
ช้างเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งในอุทยานเชื่อว่ามีอยู่ราวๆ 140 - 200 ตัว สายพันธุ์ที่พบในอุทยาน คือ ช้างเอเชียพันธุ์อินเดีย (E. m. indicus) ส่วนใหญ่มีขนาดความสูงช่วงไหล่ประมาณ 2-4 เมตร และมีน้ำหนักประมาณ 3,000-5,000 กิโลกรัม อายุเฉลี่ยประมาณ 60 ปี ช้างตัวเมียมีระยะเวลาตั้งท้องนานประมาณ 18-22 เดือน ออกลูกครั้งละตัว
โดยปกติช้างจะกินพืชเป็นอาหารหลัก อาหารที่โปรดปราน ได้แก่ ไผ่ ขิง กล้วยป่า และหญ้า นอกจากนั้นยังกินดินโป่งเพื่อเสริมแร่ธาตุอาหารด้วย ในวันหนึ่งๆ ช้างจะใช้เวลาหากินมากถึง 16-18 ชั่วโมง และใช้เวลานอนหลับพักผ่อนเพียง 3-4 ชั่วโมงเท่านั้น ประมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณวันละ 200-400 กก. แต่ย่อยอาหารได้เพียงร้อยละ 40 จากปริมาณทั้งหมดที่กินเข้าไป ส่วนที่เหลือจะถูกขับถ่ายออกมา ลงสู่ดินกลายเป็นปุ๋ยสำหรับต้นไม้ในป่าและเป็นอาหารให้แก่สัตว์อื่นๆ
ช้างเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นฝูงที่เรียกว่า “โขลง” มีความสัมพันธ์กัน แบ่งหน้าที่ระมัดระวังความปลอดภัย ช่วยกันดูแลลูกช้าง มีช้างพังอายุมากเป็นจ่าโขลง เรียกว่า “แม่แปรก” ในโขลงช้างจะประกอบด้วยช้างตัวเมียและลูกช้างเป็นส่วนมาก เมื่อช้างตัวผู้โตเต็มที่จะถูกขับออกหรือแยกตัวออกไปจากโขลง
บริเวณที่พบ
พบกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มักจะออกหาอาหารบริเวณทุ่งหญ้าและดินโป่ง หรืออาจเดินเล่นอยู่บนถนนข้างหน้าคุณก็ได้!
รู้หรือไม่?
ช้างป่าเป็นสัตว์ที่ให้ร่มเงาแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ (Umbrella species) ทั้งช่วยกระจายพันธ์ุพืช มูลเป็นอาหารแก่แมลงและเป็นปุ๋ยชั้นดี การหักไม้สูงๆ มากินก็เอื้อประโยชน์ให้แก่สัตว์ขนาดเล็กกว่า และเส้นทางที่ช้างเดินก็กลายเป็นทางด่านให้สัตว์ป่าและผู้คนได้ใช้ประโยชน์
กระทิง (Gaur)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Bos gaurus
กระทิงเป็นสัตว์กีบคู่ มีรูปร่างคล้ายวัว ความสูงถึงไหล่ประมาณ 170 -185 ชม. หนัก 650 - 900 กิโลกรัม ขนสั้นเกรียนเป็นมันสีดำหรือแกมน้ำตาล ขาสีขาวนวลคล้ายสวมถุงเท้า บริเวณหน้าผากมีหน้าโพธิ์สีเทาปนขาวหรือปนเหลือง สันกลางหลังสูง มีเขาทั้งตัวผู้และตัวเมีย เขาโค้ง โคนเขามีสีเหลือง ปลายเขาสีดำ ใต้ผิวหนังมีต่อมน้ำมันซึ่งน้ำมันมีกลิ่นฉุนเล็กน้อย
ตามปกติไม่ดุร้ายเว้นแต่ถูกทำร้ายหรืออยู่ในระหว่างฤดูผสมพันธุ์ ส่วนใหญ่มักอยู่รวมกันเป็นฝูง ฝูงหนึ่งประกอบด้วยตัวผู้ตัวเต็มวัยหนึ่งตัว นอกนั้นเป็นตัวเมียและวัยรุ่น พบได้ตั้งแต่ฝูงละไม่เกิน 10 ตัว ไปจนถึง 60 - 80 ตัว บางพื้นที่มากกว่า 100 ตัว ตัวผู้ที่เติบโตขึ้นอาจแยกออกไปตั้งฝูงของตัวเอง หรือถ้าเริ่มพ้นวัยหนุ่มก็อาจแยกไปเป็นกระทิงโทน แต่จะเข้ารวมฝูงเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ มีอายุยืน 25-30 ปี กระทิงสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดปี ส่วนใหญ่จะผสมพันธุ์ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ตัวเมียตั้งท้องนาน 9 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว
กระทิงอาศัยอยู่ได้ในสภาพป่าที่หลากหลาย โดยเฉพาะป่าดงดิบแล้งและป่าดงดิบเขา อาหารเป็นใบไม้ หญ้า และดินโป่ง ฝูงกระทิงจะเดินหากินสลับกับนอนหลับพักผ่อนตลอดทั้งวัน
บริเวณที่พบ
พบกระจายอยู่ทั่วทั้งพื้นที่ พบมากบริเวณด้านตะวันออกของอุทยานแห่งชาติ
หมาใน (Dhole)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cuon alpinus
นักล่าเก้งกวางเพียงหนึ่งเดียวของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ หมาใน เป็นหมาป่าหนึ่งในสองชนิดที่พบในประเทศไทย มีขนาดใหญ่กว่าหมาจิ้งจอก ขนาดและรูปร่างคล้ายสุนัข หนักประมาณ 10 - 21 กิโลกรัม ตัวเมียจะมีขนาดเล็กกว่า ลักษณะลำตัวค่อนข้างยาว มีสีน้ำตาลแกมแดง แก้มขาว คาง คอ และอกเป็นสีขาวเหลือง หูเล็ก หางยาวเป็นพวง ปลายหางมีสีเทาเข้มหรือดำ อายุยืนประมาณ 15 ปี อายุประมาณ 2 ปีจึงผสมพันธุ์ได้ ตั้งท้องนานประมาณ 2 เดือน ออกลูกครั้งละ 4–6 ตัว
จัดเป็นสัตว์ที่หายาก เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Cuon ที่ยังคงดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงปัจจุบัน อาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูง โดยปกติจะพบ 6 - 12 ตัว มีระบบประสาทหู ตา และการดมกลิ่นดีเยี่ยม บวกกับมีสมาชิกจำนวนมากทำให้สามารถล่าเหยื่อที่มีขนาดใหญ่กว่าได้ เช่นกวางป่า เก้ง กระจง กระทิง หมูป่า โดยในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่มีโอกาสมากที่จะได้พบเห็นฉากการไล่ล่าระหว่างฝูงกับเหยื่อ
โดยธรรมชาติหมาในไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวกับคนและมักเลี่ยงคนเสมอ หมาในชอบน้ำมาก มักลงน้ำหลังจากกินอาหาร และมักนั่งแช่น้ำตื้น ๆ ไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือเย็น
บริเวณที่พบ
ตามทุ่งหญ้าริมแหล่งน้ำต่างๆ เช่น หนองผักชี อ่างเก็บน้ำสายศร และหนองขิง
กวางป่า (Sambar Deer)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Rusa unicolor
กวางป่าเป็นสัตว์จำพวกกวางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความสูงจากพื้นถึงหัวไหล่ประมาณ 140 - 160 เซนติเมตร หนักประมาณ 185 - 220 กิโลกรัม กวางป่าเพศผู้จะมีขนาดใหญ่กว่าเพศเมีย ขนสั้นหยาบสีน้ำตาลเข้ม ขนของกวางป่าจะหยาบแข็ง และไม่ขึ้นถี่อย่างขนเก้ง ขนมีสีเทาน้ำตาลแกมเหลืองอ่อน สีไม่ฉูดฉาดอย่างสีขนของเก้ง หางเป็นพวงค่อนข้างสั้น
มักอาศัยอยู่ตามป่าทั่วไปรวมทั้งป่าทึบ ออกมาหากินอยู่ตามริมทาง ลำธาร และทุ่งโล่ง ชอบกินใบไม้และยอดอ่อนของพืชมากกว่าหญ้า รวมถึงดินโป่งด้วย กวางมักจะอยู่ตามลำพังตัวเดียว ออกหากินตั้งแต่ตอนเย็นถึงเช้าตรู่ ส่วนกลางวันจะนอนในที่รกทึบหรือนอนแช่ปลักโคลนเพื่อป้องกันแมลง ในฤดูผสมพันธุ์ตัวผู้จะดุร้ายและหวงตัวเมียมาก ช่วงนี้ตัวผู้จะต่อสู้กันอย่างดุร้ายเพื่อแย่งตัวเมีย
ฤดูผสมพันธุ์อยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมกราคม กวางป่าพร้อมผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุ 18 เดือน ตั้งท้องนานประมาณ 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัวในช่วงต้นฤดูฝน ลูกกวางจะเริ่มแยกจากแม่ไปหากินตามลำพังเมื่ออายุราว 1 ปีหรือ 1 ปีกว่า
บริเวณที่พบ
สามารถพบเห็นได้ง่าย ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ในช่วงที่พวกมันพากันออกจากป่าทึบ เพื่อหากินตามทุ่งหญ้าโล่งชายป่า
เก้ง (Barking Deer)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Muntiacus muntjak
เป็นกวางขนาดเล็ก ลำตัวยาวประมาณ 1 เมตร สูงประมาณ 50 เซนติเมตร น้ำหนัก 14-18 กิโลกรัมและมีแขนงเล็ก ๆ แตกออกข้างละสองกิ่ง ตัวผู้มีเขาสั้น ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ตัวเมียไม่มีเขา ขนตามลำตัวสีน้ำตาลแดง มีต่อมน้ำตาขนาดใหญ่และแอ่งน้ำตาลึก ตัวผู้มีเขี้ยวยาวยื่นออกมานอกริมฝีปาก ใช้สำหรับป้องกันตัว ตัวเมียเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุปีครึ่ง ออกลูกครั้งละ 1 ตัว ลูกเก้งมีจุดสีขาวตามตัว และจะค่อยจางหายไปเมื่อมีอายุได้ราว 6 เดือน
ชอบกินใบไม้อ่อน หน่อไม้อ่อน มะขามป้อม และมะม่วงป่า เป็นสัตว์ที่กระหายน้ำเก่ง มักอาศัยอยู่ตามลำพังตัวเดียวตามพงหญ้าและป่าทั่วไป เว้นแต่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์จะอยู่เป็นคู่ เป็นสัตว์ออกหากินตอนเย็นและเช้าตรู่ กลางวันหลับนอนตามพุ่มไม้ เมื่อตกใจจะส่งเสียงร้อง "เอิ๊บ-เอิ๊บ-เอิ๊บ" คล้ายเสียงสุนัขเห่า
บริเวณที่พบ
ตามทุ่งหญ้าริมแหล่งน้ำต่างๆ เช่น หนองผักชี อ่างเก็บน้ำสายศร และหนองขิง
ชะนีมือขาว (ชะนีธรรมดา) (Lar Gibbon / White-handed Gibbon)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hylobates lar
ชะนีมือขาวมีทั้งสีดำและสีขาว ส่วนหลังมือและหลังเท้าเป็นสีขาวและมีวงขาวรอบใบหน้า ใบหน้าและหูดำ มือยาว รูปร่างเพรียว ไม่มีหาง ชะนีมีอายุยืนถึง 30 ปี ครอบครัวของชะนีมือขาวครอบครัวหนึ่งจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ และลูก ชะนีผสมพันธุ์ตอนอายุ 7 - 8 ปี ตั้งท้องประมาณ 8 เดือน ปกติออกลูกครั้งละ 1 ตัว มีเวลาตั้งท้องนาน 210 วัน และให้ลูกกินนมเป็นเวลา 18 เดือน ลูกชะนีจะเกาะอยู่ที่หน้าอกแม่นานถึง 2 ปี เมื่ออายุได้ 8-9 ปี ก็จะแยกออกไปตั้งครอบครัวใหม่
สามารถอาศัยได้ในป่าหลายประเภท เช่น ป่าเบญจพรรณ, ป่าดิบทั้งชื้นและแล้ง มักเลือกอาศัยบนต้นไม้ที่มีใบรกชัด ออกหากินในเวลาเช้าถึงเย็น อาศัยหลับนอนบนต้นไม้ โดยจะใช้ต้นไม้ที่เป็นรังนอนหลายตัวภายในอาณาเขตครอบครองของแต่ละครอบครัว ต้นไม้ที่ใช้หลับนอนมักอยู่ใกล้แหล่งอาหาร อาหารหลักได้แก่ ยอดไม้อ่อน, ใบไม้, ผลไม้ รวมทั้งแมลงบางชนิด แต่จะกินผลไม้มากกว่าอาหารชนิดอื่น ๆ ดื่มน้ำด้วยการเลียตามใบไม้หรือล้วงเข้าไปวักในโพรงไม้
ชอบห้อยโหนไปตามกิ่งไม้ ใช้ชีวิตเกือบทั้งวันอยู่บนต้นไม้สูง ชอบร้องและผึ่งแดดเวลาเช้าตรู่บนกิ่งไม้ เวลาอากาศร้อนจัดจะลงมาจากต้นไม้สูงเพื่อหลบแดด เวลาตกใจจะเหวี่ยงตัวโหนไปตามกิ่งไม้อย่างรวดเร็ว เหยี่ยวและงูเหลือมเป็นศัตรูสำคัญของชะนี
รู้หรือไม่?
ชะนีมือขาวในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มีการผสมข้ามพันธุ์กับชะนีมงกุฎ จนเกิดเป็นชะนีลูกผสมซึ่งมีลักษณะรูปร่างที่แตกต่างออกไป รวมถึงเสียงร้องด้วย อันเนื่องจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นับเป็นสถานที่แห่งเดียวในโลก ที่มีชะนีทั้ง 2 ชนิดนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่เดียวกัน
ชะนีมงกุฏ หรือ ชะนีหัวมงกุฏ (Pileated Gibbon)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Hylobates pileatus
ตัวผู้สีดำ ตัวเมียสีขาวนวล เมื่อเกิดใหม่สีขาวนวลเหมือนกัน พออายุ 4 - 6 เดือน ขนที่หน้าอกจะเปลี่ยนสีเป็นสีดำเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมปลายแหลมลงที่ท้อง และบนหัวขนเปลี่ยนเป็นสีดำ เกิดขึ้นตรงกลางหัวเป็นรูปทรงกลม พออายุประมาณ 3 - 4 ปี ตัวผู้ขนจะเปลี่ยนเป็นสีดำทั่วตัว ยกเว้นคิ้ว ถุงอัณฑะ หลังมือหลังเท้าและวงรอบใบหน้า ซึ่งขนจะเป็นสีขาวดังเดิม กินผลไม้ ยอดไม้ ไข่นก และแมลงต่าง ๆ เป็นอาหาร มีพฤติกรรมเหมือนชะนีทั่วไป เมื่อมีอายุ 7 - 8 ปีจึงผสมพันธุ์ได้ ตั้งท้องนานประมาณ 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว
การติดตามดูพฤติกรรมของชะนีในป่าเขาใหญ่นั้น สามารถพบเห็นได้โดยทั่วไป แม้กระทั่งบริเวณใกล้ๆ ที่ทำการอุทยาน แต่ถ้าต้องการพบเห็นชะนีบนเขาใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติ ควรใช้เส้นทางศึกษาธรรมชาติ เส้นทาง กม.33-หนองผักชี, เส้นทางดงติ้ว-หนองผักชี, หรือเส้นทางดงติ้ว - อ่างเก็บน้ำสายศร การติดตามดูชะนีนั้น ต้องแต่งตัวให้รัดกุม ไม่ใช้สีฉูดฉาด และต้องเงียบ ควรมีกล้องส่องทางไกลไปด้วย เพราะชะนีมักจะอยู่ตามยอดไม้สูง
ลิงกังเหนือ (Northern Pig-tailed Macaque)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Macaca leonina
เป็นลิงที่มีรูปร่างอ้วนสั้น ขนสั้นสีเทาหรือสีน้ำตาล หน้าค่อนข้างยาว ขนบนหัวสั้นมีสีเทาหรือ สีน้ำตาล และขึ้นวนเป็นก้นหอย ขนตรงส่วนใต้ท้องมีสีจางจนเกือบขาว หางค่อนข้างสั้น ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า และมีขนปรกหน้าผากน้อยกว่าลิงตัวผู้ ลิงกังชอบกินผลไม้ เมล็ดพืช และแมลงเป็นอาหาร เวลากินอาหารมักชอบเก็บไว้ข้างแก้มแล้วค่อยๆ เอามือดันอาหารที่เก็บไว้ออกมากินทีละน้อย ชอบลงมาอยู่ตามพื้นดินมากกว่าอยู่บนต้นไม้ แต่เวลานอนขึ้นไปนอนบนต้นไม้
ลิงกังเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อมีอายุ 3-4 ปี ผสมพันธุ์ทุกฤดู ระยะตั้งท้องประมาณ 5-7 เดือน ออกลูกครั้งละ 1 ตัว และมีอายุยืนราว 25 ปี ตัวผู้หรือแต่ละตัวอาจผสมพันธุ์กับตัวอื่นได้หลายตัว และไม่อยู่เป็นคู่
แมวดาว (Leopard Cat)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Prionailurus bengalensis
แมวดาวมีขนาดเท่ากับแมวบ้าน แต่มีความเพรียวมากกว่า โดยเฉลี่ยน้ำหนักระหว่าง 3-7 กิโลกรัม ลำตัวถึงหัวยาว 44 -107 เซนติเมตร และหางยาว 23-44 เซนติเมตร ขนมีสีซีดสีน้ำตาลอ่อน บริเวณท้องสีขาว มีลายคล้ายดอกกุหลาบบริเวณลำตัวและหาง ส่วนปลายหางเป็นปล้อง มีแถบดำสี่แถบพาดขนานจากหน้าผากไปยังบริเวณคอ แมวดาวมีหัวขนาดเล็ก ปากสั้น และหูกลม
หากินเวลากลางคืนทั้งบนดินและต้นไม้ ชอบนอนในโพรง บางครั้งกระโจนจากต้นไม้เพื่อจับสัตว์กิน เป็นสัตว์ที่ว่ายน้ำเก่ง โดยจะล่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมขนาดเล็ก สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน นก ปลา ซากสัตว์ และแมลง ระยะเวลาตั้งท้องนาน 65-72 วัน และออกลูกครั้งละ 1-4 ตัว
หมีควาย (Asian Black Bear)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ursus thibetanus
หมีควายจัดเป็นหมีที่มีขนาดใหญ่ ความยาวลำตัวประมาณ 120 - 150 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 100 - 160 กิโลกรัม ขนยาวหยาบสีดำทั้งตัว ใต้คอเป็นรูปตัววี หูใหญ่ ปลายจมูกค่อนข้างดำ เล็บเท้าโค้งยาวแหลม มักเดินด้วยส้นเท้า ปากยาว มีหางสั้น ปลายเท้ามีสีขาวหรือเหลือง ประสาทตาและหูไม่ค่อยไว แต่ประสาทรับกลิ่นดีมาก เป็นสัตว์กินไม่เลือก เช่น ลูกไม้ ใบไม้อ่อน สัตว์เล็ก ๆ และแมลง ที่ชอบมากคือน้ำผึ้ง และตัวอ่อนของผึ้ง ชอบอยู่ป่าสูงและภูเขา ปกติออกหากินกลางคืน กลางวันนอนตามโพรงไม้หรือถ้ำ ขึ้นต้นไม้และว่ายน้ำเก่ง มีนิสัยดุ ชอบอยู่โดดเดี่ยวหรืออยู่ด้วยกัน 2-3 ตัว ชอบการต่อสู้ ถ้าเห็นคนมักหลบหนีไปก่อน เมื่อได้รับบาดเจ็บหรือจวนตัวจะสู้จนถึงที่สุด หมีควายตั้งท้องนานประมาณ 7 - 8 เดือน ออกลูกครั้งละ 1-2 ตัว ชอบออกลูกตามโพรงไม้หรือในถ้ำ แม่จะเลี้ยงลูกจนโตพอสมควรจนกระทั่งใกล้จะออกลูกตัวใหม่จึงปล่อยลูกหากินตามลำพัง
เลียงผา หรือ โครำ (Serow)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capriconis sumatraensis
เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวนของประเทศไทย มีรูปร่างคล้ายแพะ ลำตัวสั้น ขายาว ขนยาวสีดำอาจมีสีขาวแซม มีขนแผงคอด้านบนยาวและแข็งพาดผ่านจากหัวไปถึงโคนหาง แต่จะเห็นยาวชัดเจนตั้งแต่หัวถึงกลางหลัง กะโหลกด้านหน้าแบน หูใหญ่ตั้ง มีเขาเป็นรูปกรวยเรียว โค้งไปทางข้างหลังเล็กน้อย โคนเขาหยักเป็นลอน มีต่อมน้ำตาอยู่ใต้ตา ต่อมนี้มีหน้าที่สร้างสารกลิ่นฉุนเพื่อใช้ในการทำเครื่องหมายประกาศอาณาเขต หางสั้นและเป็นพู่ ชอบอาศัยอยู่บนภูเขา ตามลำพัง ปีนป่ายและกระโดดไปตามหน้าผาชันได้อย่างคล่องแคล่ว มีนิสัยหวงถิ่น มีจุดถ่ายมูลประจำ มักหากินอยู่ไม่ไกลจากแหล่งพักผ่อน ชอบหากินตอนเย็นและตอนเช้า กินหญ้า เฟิร์น ใบไม้และยอดอ่อน ตอนกลางวันจะหลบอยู่ในพุ่มไม้หรือใต้ชะง่อนหิน พบได้ไม่บ่อยนักในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
เม่นใหญ่แผงคอยาว (Malayan Porcupine)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Hystrix brachyura
เป็นสัตว์ในอันดับสัตว์ฟันแทะ กลุ่มเดียวกับหนู กระรอก เป็นสัตว์ฟันแทะที่มีขนาดร่างกายใหญ่ หนาและเตี้ย มีอายุประมาณ 20 ปี ความยาวลำตัวและหัว 65 - 73 เซนติเมตร ตัวเต็มวัยอาจหนักถึง 27 กิโลกรัม รูปร่างของหัวส่วนหน้าและจมูกค่อนข้างยาว ขนที่ส่วนใบหน้า ใต้คอและใต้ท้องเป็นขนอ่อนหยาบสีน้ำตาล ขนด้านข้างลำคอ สันคอไปจนถึงตอนบนของหลังเป็นขนหยาบยาวสีดำเข้มเกือบดำ ขนหนามแข็งขนาดใหญ่ที่ใช้ป้องกันตัว จะขึ้นห่างๆ กัน ตั้งแต่กลางหลังไปถึงปลายหาง ยาวตั้งแต่ 5 - 30 เซนติเมตร เป็นขนยาวมีสีขาวและมีวงรอบขนสีดำอยู่กลางขน ภายในกลวงเมื่อเม่นแกว่งหางจะเกิดเสียงดัง เมื่อพบศัตรูจะแสดงอาการขู่ โดยกระทืบเท้า ตั้งขนขึ้นและสั่นหางทำให้เกิดเสียงดัง เม่นไม่สามารถสลัดขนไล่ศัตรูได้ แต่ขนเม่นหลุดง่าย เมื่อศัตรูถูกขนเม่นตำ ขนจึงหลุดติดไปกับศัตรู มีหนวดสีดำยาวประมาณ 10 - 20 เซนติเมตรช่วยในการรับความรู้สึก เม่นเป็นสัตว์ที่สามารถปรับตัวให้อาศัยในหลากหลายสภาพแวดล้อม หากินเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะหลบอยู่ในโพรงดิน
พญากระรอกดำ (Black Giant Squirrel)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ratufa bicolor
พญากระรอกดำ เป็นกระรอกที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่พบในประเทศไทย น้ำหนักประมาณ 1 - 1.6 กก. เมื่อโตเต็มที่ ลำตัวและหัวจะยาว 33 - 37.5 ซม. หางยาว 42.5 - 46 ซม. หางยาวเป็นพวง ขนตามตัวและหางมีสีดำสนิท บางตัวอาจมีขนที่สะโพกหรือโคนหางออกสีน้ำตาล ขนบริเวณแก้มและท้องเป็นสีเหลืองหรือสีครีม ชอบอยู่ในป่าที่มีเรือนยอดไม้สูง พบได้ทั้งป่าดงดิบ และป่าเบญจพรรณ ออกหากินในเวลากลางวันและนอนในเวลากลางคืน สามารถพบได้บ่อยในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
นากใหญ่ขนเรียบ (Smooth-coated Otter)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lutrogale perspicillata
นากชนิดนี้มีขนเรียบเป็นมัน ปลายหางแบนเห็นได้ชัด เส้นขนเหนือจมูกเป็นเส้นตรง ปาก แก้ม คอด้านล่าง และหน้าอกตอนบนมีสีขาวเหลือง ตอนบนของลำตัวสีน้ำตาลแก่ ตอนล่างหรือด้านหน้าท้องสีอ่อนกว่า อาจเป็นสีน้ำตาลหรือเทา มีหางยาวมาก ยาวกว่าครึ่งของลำตัวและหัวรวมกัน มือเท้าใหญ่สีซีด กินปลาเป็นอาหาร นากใหญ่ขนเรียบพบตามห้วย หนอง คลอง บึง ที่ราบลุ่มมีน้ำทั่วไป และแหล่งน้ำที่มีความสูงระดับต่ำ เมื่ออยู่บนบกไม่คล่องแคล่ว ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง และช่วยกันจับปลาโดยไล่ปลาไปข้างหน้า นากใหญ่ขนเรียบจะต้อนปลาเป็นรูปครึ่งวงกลมไปยังที่น้ำตื้นแล้วจับปลากิน ส่วนใหญ่จะผสมพันธุ์ตอนต้นปี ตั้งท้อง 63 วัน โตเต็มที่เมื่อมีอายุได้ประมาณ 3 ปี ส่วนใหญ่จะมีลูกครั้งแรกเมื่ออายุ 4 ปี
ลิงลมเหนือ (Northern Slow Loris)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nycticebus bengalensis
เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในอันดับวานร (Primates) ในวงศ์ลิงลม (Lorisidae) สามารถพบได้ทั่วทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งลิงลมเหนือนับเป็นลิงลมที่เพิ่งมีการจำแนกออกเป็นชนิดใหม่ มีน้ำหนักตัว 900-1,400 กรัม ใบหูมองเห็นได้ชัดเจน โดยหูจะจมหายไปกับขนบนหัว สีขนมีความแตกต่างหลากหลายกันไปตามสภาพพื้นที่ ตั้งแต่ สีเทาอมครีม, สีครีม, สีน้ำตาลอ่อน, สีส้มหม่น มีเส้นพาดกลางหลังสีน้ำตาลจรดหาง ขนรอบดวงตาเป็นสีเข้ม ในเวลากลางวันการเคลื่อนไหวดูเชื่องช้ามาก แต่จะว่องไวในเวลากลางคืนเมื่อหาอาหาร และเวลาที่โดนลมพัด อันเป็นที่มาของชื่อ “ลิงลม” เมื่อตกใจมักจะเอาแขนซุกใบหน้าไว้จนเป็นที่มาของชื่อ “นางอาย” พบได้ไม่บ่อยนักในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
หมีขอ หรือ บินตุรง หรือ หมีกระรอก (Binturong)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Arctictis binturong
เป็นสัตว์ในกลุ่มชะมดและอีเห็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หน้าตาคล้ายหมีจนเป็นที่มาของชื่อ “หมีขอ” ขนตามลำตัวสีดำ ค่อนข้างยาวและหยาบ หางยาวเป็นพวงคล้ายกระรอกทำให้ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “หมีกระรอก” หางสามารถยึดเกี่ยวกับต้นไม้ได้ดี หูกลม ขนหลังหูค่อนข้างยาว ขนที่หัวสีเทา บางตัวมีขนสีขาวที่หน้า หมีขอส่วนใหญ่จะหากินในเวลากลางคืน ในเวลากลางวันจะนอนในโพรงไม้หรือพุ่มไม้ ชอบอยู่ตามลำพัง แต่บางครั้งอาจพบเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เช่น แม่และลูก อาหารหลักได้แก่ ผลไม้ แมลง และสัตว์เลื้อยคลานเล็ก ๆ มันปีนต้นไม้ได้เก่งมากและมีหางยาวใช้เกาะเกี่ยวกิ่งไม้จากต้นหนึ่งไปยังอีกต้น นอกจากนี้ยังว่ายน้ำได้อีกด้วย พบได้ไม่บ่อยนักในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่